x close

กลับมาอีกครั้งสำหรับวงดนตรีที่ดีที่สุดของวงการร็อค The Aristocrats

The Aristocrats
The Aristocrats

กลับมาอีกครั้งสำหรับวงดนตรีที่ดีที่สุดของวงการร็อค ฟิวชั่น ในโลก กับวง THE ARISTOCRATS Super group of Instrumental Rock Fusion


          กับคำว่า superband ซึ่งวนเวียนไปมาในวงจรของนักดนตรีที่มีฝีมือมารวมกันเต็มไปด้วยทรัพยากรทางฝีมือและไอเดียที่ไม่จำกัดของนักเล่นชั้นเลิศที่มารวมตัวกันเป็นวงแต่ในบางครั้งนิยามบางส่วนของวงดนตรีเหล่านั้นกลับกลายเป็นความสมจริงและโดดเด่นขึ้นมาจากวงในรูปแบบเดียวกัน The Aristocrats เป็นหนึ่งในกรณีนั้น Guthrie Govan มือกีตาร์ ตามด้วย Bryan Beller มือเบส และ Marco Minnemann มือกลองเหล่านักดนตรีผู้ซึ่งท้าทายและสนุกสนานไปกับการเป่านิยามของ superband ให้แตกเป็นชิ้น ๆ สร้างความตื่นเต้นให้กับผู้ฟังและแฟน ๆ ทั่วโลกด้วยส่วนผสมทางเคมีอันน่าอัศจรรย์ของสมาชิกวงซึ่งฝีไม้ลายมือเฉพาะของแต่ละคนทำให้ได้ผลลัพทธ์ที่น่าสนใจกว่าการรวมกันเสียอีก
          ลองมาดูผลงานของนักดนตรีทั้งสามของวง Guthrie Govan ถูกจัดให้เป็นมือกีตาร์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในระดับนานาชาติคนหนึ่งในโลกทุกวันนี้และในปี 2006 อัลบั้ม Erotic Cakes ซึ่งเป็นอัลบั้มเดี่ยวของเขาถูกจดจำในฐานะผลงานคลาสสิกอีกชิ้นหนึ่งประสบการณ์ในการทัวร์คอนเสิร์ตอันสุดยอดของเขากับวง Asia, GPS, StevenWilson เป็นหนึ่งในองค์ประกอบของตารางชีวิตที่แสนวุ่นวายของเขาเช่นเดียวกับงานสอนหรือการทำกีตาร์คลินิคของเขาทั่วโลกและเขายังได้มีโอกาสขึ้นปกนิตยสาร Guitar Player ในเดือนตุลาคมปี 2012

          BryanBeller มีเครดิตอยู่มากมายรวมถึงมือกีตาร์อย่าง Steve Vai, Joe Satriani, Mike Keneally (Frank Zappa) และวงเมทัลสุดดังอย่าง Dethlokโดยแจ้งเกิดจาก รายการทีวี Metalocalypse ผลงานที่มีคือออกซีดีสามชุดสองดีวีดี และหนังสือแนะนำบทเรียนของสำนักพิมพ์ Alfred ได้มีโอกาสร่วมลงปกนิตยสาร Bass Player เดือนตุลาคม 2012

          Marco Minnemann ถูกยอมรับอย่างกว้างขวางในหมู่แฟนคลับและผู้ติดตามว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์หัวก้าวหน้า และเป็นคนรุ่นใหม่ที่น่าจับตามองคนหนึ่งของโลกเขาได้ขึ้นปกนิตยสารกลองหลายฉบับรวมถึงนิตยสาร Modern Drummer และเขายังสนุกกับการเป็นมือปืน (มือกลอง) อรรถประโยชน์ให้คนอีกมากมาย (Adrian Belew, UKZ, Steven Wilson, JoeSatriani, Necrophagist) สิ่งที่คุณอาจไม่รู้มาก่อนคือเขาเป็นนักดนตรีที่เล่นได้หลากหลายเครื่องและยังเป็นนักประพันธ์ไฟแรงที่มีอัลบั้มเดี่ยวและดีวีดีรวมกันเกือบ20 ชิ้นในปัจจุบัน

The Aristocrats

          จากการที่แต่ละคนมีความสนใจและแนวทางในชีวิตที่แตกต่างกันการรวมวงของ The Aristocrats นั้นจึงเกิดขึ้นโดยไม่ทันได้ตั้งตัวโดย Beller และ Minnemann มีกำหนดการเล่นทรีโอในการแสดงที่ NAMM ประจำฤดูหนาวที่ Anaheim แคลิฟอเนียในเดือนมกราคม 2011 และมือกีตาร์ของพวกเขาไม่สามารถมาเล่นได้ทันในนาทีสุดท้าย Govan จำต้องมาเป็นนักดนตรีแทนไปเสียก่อนซึ่งเป็นครั้งแรกที่ได้มาเล่นด้วยกันในคืนก่อนการแสดงกระแสไฟฟ้าดูแปลกไปทันทีด้วยอิทธิพลของคนไม่รู้จักที่แลกเปลี่ยนพลังงานกันผ่านการเล่นดนตรีด้วยความรวดเร็วรุนแรง, ความสนุกสนานของการเล่น และแม้แต่แง่มุมลูกเล่นต่าง ๆ ที่ถูกนำมารวมกันของเครื่องดนตรีปฏิกริยาตอบรับของผู้ชมออกมาดีเกินความคาดหมายทั้งที่วงรวมตัวกันภายใต้เงื่อนไขอันเร่งรีบ เคมีที่ออกมานี่มันยอดเยี่ยมไปเลย Govan กล่าว เมื่อตอนที่เราลงจากเวทีและทุกคนก็ต่างพูดกันว่า "นี่มันใช้ได้เลยนะเราควรจะเอามันมาทำอัลบั้มกัน"


          สามเดือนให้หลังทางวงมีการประชุมกันตัวต่อตัวด้วยการละทิ้งรูปแบบการแลกเปลี่ยนการควบคุมในการเล่นต่าง ๆ เพื่อให้คงไว้ซึ่งเคมีและสัญชาติญาณของการเล่นที่ให้พลังของการเล่นสดคงอยู่ในอัลบั้มซึ่งมีเพลงทั้งหมด 9 แทรคโดยแบ่งให้เป็นเพลงของสมาชิกแต่ละคนไปโดยส่วนประกอบของเพลงมาจากการหลอมรวมอิทธิพลของดนตรีที่แต่ละคนชอบตั้งแต่การรวมกันของแจซ-ร็อค ยุค 70 Return To Forever และ MahavishnuOrchestra ไปจนถึง โฟรเกรซซีฟร็อค King Crimson และ UK หรือกีตาร์ฮีโรอย่าง Steve Vai และ Joe Satriani ไปยังดนตรีที่จับต้องได้ยาก และซับซ้อนเหน็บแนม และเสียดสีของ Frank Zappa และ Mike Kenally แม้แต่ กรูฟของเมทัลยุค 90 อย่างเช่น RageAgainst The Machine

          Beller พูดเกี่ยวกับเสียงของวงเอาไว้ว่า "เรามาจบลงตรงที่การใช้อิทธิพลที่แตกต่างของแต่ละคนมาเขียนเพื่อให้เพื่อนร่วมวงเล่นกันเองผมเขียน Sweaty Knockers เป็นพิเศษสำหรับ Guthrie เพื่อความสนุกสนานของเขาในขณะที่เขาเขียน I Want A Parrot พร้อมกับการมีเบสลีดนำในใจไว้อยู่แล้ว สำหรับวัตถุดิบของนั้น Marcoพวกเรารู้สึกโชคดีที่สามารถเล่นมันออกมาได้"

          เพลงที่ชื่อออกจะร้ายกาจของ Minnemann อย่างเช่น Boing ! I\'m In The Back มาจากเหตุการณ์ของอุบัติเหตุที่สุดแสนจะคลุมเครือในรัซเซีย และ BluesFuckers ซึ่งหมายถึงรูปแบบดนตรีบลูส์ที่ถูกหักล้างในทุกวิถีทางที่จะจินตนาการได้ และเพลงของ Beller Sweaty Knockers ที่ทำให้ Govan แปลกใจว่าทำไมเพวกเขาถึงจะไม่ใช้ชื่อวงว่า The Aristocrats หลังจากการเล่นมุขตลกของผู้ใหญ่ และภาพยนตร์ที่มีชื่อเดียวกัน มันลงตัว และ The Aristocrats ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นมา

          หลังจากออกขายเพียง 8 วัน The Aristocrats [BOING,2011] ถูกยกย่องให้เป็นอัลบั้มคลาสสิกชั้นนำไปทั่วโลกโดยปรากฏชื่อเป็นอัลบั้มยอดนิยม 10 อันดับประจำปีของหลายสำนัก Guthrie Govan พบตัวเขาเองบนปกของนิตยสารกีตาร์ทั่วโลกโรงเรียนดนตรีเป็นที่หนึ่งที่ได้รับผลกระทบอย่างชัดเจนด้วยกระแสของผู้เรียนที่อยากจะเล่นเพลงคัฟเวอร์ของ Aristocrats เช่นเดียวกันกับ Passion And Warfare ของ Steve Vai ที่เป็นแรงบันดาลใจนักเล่นมาหลายยุคสมัย ภายในเวลาไม่ถึงปีจากวงที่มีงานแสดงเล็กน้อยกลายมาเป็นวงที่ถูกเรียกหามากที่สุดวงหนึ่งในการแสดงสดของดนตรีร็อค/ฟิวชัน ของโลก

          18เดือน ต่อมาวงประสบความสำเร็จในการทัวร์ทั้งเมืองแถบชายฝั่ง และทั้สองฟากตะวันตกและตะวันออกของอเมริกา แคนาดาตะวันออก สหราชอาณาจักร กลุ่มประเทศ Benelux ฝรั่งเศส, สเปน, สวีเดน, อิตาลี, เยอรมันนี, โปแลนด์, โครเอเชีย, ตุรกี, กรีซ, อิสราเอล, เกาหลี และญี่ปุ่นพลังแห่งการเล่นสดของวงและความเข้ากันได้ของเคมีนักดนตรีนั้นถูกบันทึกไว้ใน DVD/2CD ในชื่อ BOING,  We\'ll Do It Live ! The Aristocrats At AlvasShow Room [BOING,2012]

          ในปี 2013 ทางวงก็ได้ปล่อยอัลบั้มที่สองที่ผู้คนต่างรอคอย Culture Clash ซึ่งเป็นการพาดพิงความแตกต่างของชนชาติที่ร่วมกันทำวงขึ้นมาโดย Govan เป็นชาวอังกฤษ Beller เป็นอเมริกัน และ Minnemann เป็นเยอรมัน และยังเป็นการอ้างอิงฉากหนึ่งจากภาพยนตร์ของพี่น้อง Coen เรื่อง A Serious Man โดยพวกเขาได้ใช้องค์ประกอบเหมือนเดิมคือใช้ 3 เพลงจากสมาชิกแต่ละคนแต่ถูกเสริมอาวุธด้วยประสบการณ์ที่มากขึ้นจากการออกทัวร์ร่วมกันสิบแปดเดือน

          ผลของวัตถุดิบทางดนตรีเหล่านี้กลายเป็นความดุเดือดของดนตรีที่มาขึ้น ความเข้มข้นการปลุกเร้าในดนตรีที่เพิ่มขึ้นทำให้เห็นถึงการปฏิเสธที่จะหยุดอยู่เพียงแค่ความสำเร็จของอัลบั้มแรกที่น่าประทับใจและโดยการร่วมกับดนตรี เทคโน-ฟิวชัน (Dance Of The Aristocrats ของ Minnemann) ไปยังเพลงแนวร็อคอบิลลีที่เต็มไปด้วยพลังที่อัดแน่นอย่าง Louisville Stomp ของ Beller  จนถึงเพลงที่มีจังหวะที่เลื้อยไปมาของ Govan และ Culture Clash ก็เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จบนบิลด์บอร์ดของแจมร่วมสมัยในลำดับที่ 8 โดยที่ไม่มีใครกล้าที่จะบอกในทันทีว่านี่คือวงแจซ(มันสนุกเกินแจซไปโข!)

          2013 เป็นปีที่เห็นการทัวร์อเมริกาของพวกเขาอันยาวนานที่สุด 6 สัปดาห์จากตะวันออก ไปยังตะวันตกกลาง ตะวันออกเฉียงใต้และเท็กซัส และในปี 2014 วงวางแผนที่จะเปิดการแสดงในอเมริกาตะวันตกเฉียงใต้แคลิฟอเนีย แม็กซิโก ยุโรป อเมริกาใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หลังจากทัวร์ครั้งนั้น ทางวงได้รวบรวมบันทึกการแสดงสดจาก 6 สถานที่ รวมเป็นอัลบั้มบันทึกการแสดงสดชุดที่สอง ในชื่อ Culture Clash Live! วางแผงในรูปแบบ CD และ DVD เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2015 และในวันเดียวกันนั้น พวกเขาก็ได้ปล่อยบันทึกการแสดงสดชุดที่ชื่อว่า Secret Show: Live in Osaka

          ในระหว่างช่วงทัวร์ในเดือนมกราคม 2015 ทางวงได้เริ่มเตรียมทำสตูดิโออัลบั้มที่ 3 ที่มีชื่อว่า Tres Caballeros อัลบั้มนี้ได้เริ่มอัดในเดือนกุมภาพันธ์ และวางแผงในวันที่ 23 มิถุนายน 2015 หลังจากออกอัลบั้มนั้น วงก็ได้ทัวร์อเมริกาเหนือในซัมเมอร์ปี 2015 ต่อมาพวกเขาก็ทัวร์ทั่วยุโรปตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2015 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2016 ในปี 2016 พวกเขาได้ร่วมทัวร์กับ Joe Satriani และ Steve Vai ใน G3 tour

          สิ่งที่เป็นกุญแจสำคัญของวง The Aristocrats คือการที่เล่นเป็นวงอย่างแท้จริงไม่ว่าอย่างไรมันก็เป็นเรื่องของดนตรี การวางแผนการแสดง การบันทึกงานศิลปะและลำดับสิ่งที่ต้องทำการตัดสินใจทางธุรกิจ หรืออะไรก็แล้วแต่ซึ่งทุกคนมีสิทธิเท่ากันที่จะพูดจะแสดงออกมา Guthrie อาจจะกล่าวไว้ได้ถูกต้องที่สุดแล้วก็ได้ว่า ประชาธิปไตยแบบนักเลงนักดนตรี มันไม่ใช่แค่แนวฟิวชันมันไม่ใช่แค่การ shredding มันไม่แม้แต่จะเป็นการเล่นที่เคร่งเครียดในช่วงเวลานั้นมันเป็นแค่เสียงของชายสามคนผู้ซึ่งทำเพลงออกมาตามแบบของตัวเองและพบว่าพวกเขามีอะไรบางอย่างในเรื่องของดนตรีที่ลึกลงไปด้วยกันรวมถึงการตั้งชื่อเพลงที่มีเรต ผู้ใหญ่ควรแนะนำ (R) แล้วคุณจะเรียกพวกที่ทำตัวแบบนี้ว่าอย่างไรดีเล่า ?




เรื่องที่คุณอาจสนใจ
กลับมาอีกครั้งสำหรับวงดนตรีที่ดีที่สุดของวงการร็อค The Aristocrats อัปเดตล่าสุด 20 กรกฎาคม 2559 เวลา 20:05:22 1,196 อ่าน
TOP